เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
นักศึกษาเอกคณิตศาสตร์ วิทยาลัยการฝึกหัดครู

วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

รูปแบบสื่อหลายมิติในการเรียนการสอนประกอบด้วยอะไรบ้าง

10. รูปแบบสื่อหลายมิติในการเรียนการสอนประกอบด้วยอะไรบ้าง

( เกษม ก้อนทอง ; 2549 : 135) สื่อหลายมิตินั้นเป็นสื่อผสมที่นำมาพัฒนาจากข้อความมิติ ซึ่งแนวคิดเกี่ยวข้องกับข้อความหลายมิติ hypertext นี้มีมานานหลายสิบปีแล้ว โดยแวนนิวาร์บุช Vannevar Bush เป็นผู้ที่มีความคิดริเริ่มเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยเขากล่าวว่าน่าจะมีเครื่องมืออะไรสักอย่างที่ช่วยในเรื่อง ความจำและความคิดของมนุษย์ที่จะช่วยให้เราสืบค้นและเรียกใช้ข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ได้ หลายๆข้อมูลในเวลาเดียวกัน เหมือนกับที่คนเราสามารถคิดเรื่องต่างๆ ได้หลายเรื่องในเวลาเดียวกัน
ข้อความหลายมิติ Hypertext หรือข้อความหลายมิติ คือเทคโนโลยีของการอ่าน และการเขียนที่ไม่เรียงลำดับเนื้อหา โดยเสนอในลักษณะของข้อความที่เป็นตัวอักษร หรือข้อความภาพกราฟิกอย่างง่ายที่มีการเชื่อมโยงถึงกัน เรียกว่า “จุดต่อ” node โดยผู้ใช้สามารถเคลื่อนที่จากจุดต่อเนื่องไปยังอีกจุดต่อหนึ่งได้โดยการเชื่อมโยงจุดต่อเหล่านี้

ข้อความหลายมิติ เป็นระบบย่อยของสื่อหลายมิติ คือเป็นการนำเสนอสารสนเทศที่ผู้อ่านไม่จำเป็นต้องอ่านเนื้อหาในมิติเดียวกันในแต่ละบทตลอดทั้งเล่ม โดยผู้อ่านสามารถข้ามไปอ่านหรือค้นคว้าข้อมูลที่สนใจตอนใดก็ได้ โดยไม่ต้องเรียงลำดับลักษณะข้อความ ข้อความหลายมิติอาจเปรียบเทียบได้เสมือนกับบัตรหรือแผ่นฟิล์มใส หลายๆแผ่นที่วางซ้อนกันเป็นชั้นๆ ในแต่ละแผ่นจะบรรจุข้อมูลแต่ละอย่างลงไว้

( กิดานันท์ มลิทอง ; 2540 : 269 ) กล่าวไว้ว่า สื่อหลายมิติเป็นการขยายแนวความคิดของข้อความหลายมิติในเรื่องการนำเสนอข้อมูลในลักษณะไม่เป็นเส้นตรง และเพิ่มความสามารถในการบรรจุข้อมูลในลักษณะของภาพเคลื่อนไหวแบบวีดีทัศน์ ภาพกราฟิกในลักษณะภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ภาพถ่าย เสียงพูด เสียงดนตรี เข้าไว้ในเนื้อหาด้วย เพื่อให้ผู้เรียนเข้าถึงเนื้อหาเรื่องราวได้หลายรูปแบบมากกว่าเดิม
สื่อหลายมิติในการเรียนการสอน

การนำเสนอเนื้อหาข้อความหลายมิติและสื่อหลายมิติเป็นการนำเสนอเนื้อหาในลักษณะกรอบความคิดแบบใยแมงมุม ซึ่งเป็นกรอบความคิดที่เชื่อว่าจะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับวิธีที่มนุษย์จัดระบบความคิดภายในจิตใจ ดังนั้น ข้อความหลายมิติและสื่อหลายมิติจึงทำให้สามารถคัดลอกและจำลอกเครือข่ายโยงใยความจำของมนุษย์ได้ การใช้ข้อความหลายมิติและสื่อหลายมิติในการเรียนการสอนจึงช่วยผู้สอนได้

สื่อประสม คืออะไร

9. สื่อประสม คืออะไร
ในการใช้สื่อการสอนต่างๆเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นสื่อชนิดใดหรือประเภทใดก็ตาม ผู้สอนอาจจะใช้สื่อเพียงครั้งละอย่างเดียวหรืออาจใช้สื่อร่วมกันหลายๆอย่าง ในรูปแบบของ “สื่อประสม” Multimedia ก็ได้ ในการใช้สื่อประสมนี้เป็นการนำสื่อประเภทต่างๆมาใช้ร่วมกันโดยอาจเป็นการใช้กับผู้เรียนกลุ่มใหญ่ กลุ่มย่อยหรือในการศึกษารายบุคคล การใช้สื่อประสมนี้โดยทั่วไปแล้วจะใช้สื่อแต่ละอย่างเป็นขั้นตอนไปแต่ในบางครั้งก็อาจใช้สื่อหลายชนิดพร้อมกันได้ ในปัจจุบันได้มีการนำวัสดุมาผลิตเป็นชุดสื่อประสมโดยผลิตขึ้นตามขั้นตอนการใช้ระบบสอนโดยจัดเป็น “ชุดการสอน”Teaching Package

( สถาพร ไมตรีจิตร์ ; 2540 : 215 ) ได้สรุปว่า สื่อประสมมีลักษณะเป็นอย่างไรและประกอบด้วนสื่ออะไรบ้างนั้นย่อมขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของบทเรียนและวัตถุประสงค์ของการใช้ โดยทั่วไปแล้วแล้วชุดสื่อประสมจัดอยู่ในกล่องหรือแฟ้มซึ่งประกอบด้วย
· คู่มือ สำหรับผู้สอนในการใช้ชุดการสอนและสำหรับผู้สอนในชุดการเรียน
· คำสั่ง เพื่อกำหนดแนวทางในการสอนหรือการเรียน
· เนื้อหาบทเรียน
· กิจกรรมการสอน
· แบบทดสอบ

( อีริคสัน ; 1971 ) ได้แสดงความหมายว่า “สื่อประสม” เป็นการนำสิ่งหลายๆ อย่างมาใช้ร่วมกันอย่างมีความสัมพันธ์มีคุณค่าและส่งเสริมซึ่งกันและกัน สื่อการสอนอย่างหนึ่งอาจใช้เพื่อเร้าความสนใจ ในขณะที่อีกอย่างหนึ่งใช้เพื่ออธิบายขอเท็จจริงของเนื้อหาและอีกชนิดหนึ่งอาจใช้เพื่อก่อให้เกิดความสนใจที่ลึกซึ่ง และป้องกันการเข้าใจความหมายผิดๆการใช้สื่อประสมจะช่วยให้ผู้เรียนมีประสบการณ์จากประสาทสัมผัสที่ผสมผสานกัน

( เทคโนโลยีการศึกษาและการศึกษา : 18-19 ) ได้ให้ความหมายว่า “สื่อประสม” หมายถึงการนำเอาสิ่งหลายๆประเภทมาใช้ร่วมกันทั้งวัสดุ อุปกรณ์และวิธีการเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดในการเรียนการสอน โดยการใช้สื่อแต่ละอย่างตามลำดับขั้นตอนของเนื้อหาและในปัจจุบันมีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ร่วมด้วยเพื่อการผลิตหรือควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ในการเสนอข้อมูลทั้งตัวอักษร ภาพกราฟิก ภาพถ่ายภาพเคลื่อนไหวแบบวีดีทัศน์ และเสียง จากความหมายของคำว่าสื่อประสม นักเทคโนโลยีทางการศึกษาได้แบ่งสื่อประสมออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
· สื่อประสม Multimedia 1 เป็นสื่อประสมที่ใช้โดยการนำสื่อหลายประเภทมาใช้ร่วมกันในการเรียนการสอน เช่น นำวีดีทัศน์มาประกอบการบรรยายของผุ้สอนโดยตีสื่อสิ่งพิมพ์ประกอบด้วย หรือการใช้ชุดการเรียนหรือชุดการสอน การใช้สื่อประสมประเภทนี้ผู้เรียนและสื่อจะไม่มีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกันและจะมีลักษณะเป็น “สื่อหลายแบบ”
· สื่อประสม Multimedia 2 เป็นสื่อประสมที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นฐานในการนำเสนอสารสนเทศหรือการผลิตเพื่อเสนอข้อมูลประเภทต่างๆ เช่น ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ตัวอักษรและเสียง ในลักษณะของสื่อหลายมิติ โดยที่ผู้ใช้มีการโต้งตอบกับสื่อโดยตรง
สื่อประสม หมายถึง การนำเอาสื่อหลายๆ ประเภทมาใช้ร่วมกัน ทั้งวัสดุ อุปกรณ์และวิธีการเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดในการเรียนการสอน ซึ่งสื่อรูปแบบต่างๆ ประกอบด้วย ข้อความอักขะ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวและเสียง เพื่อการศึกษาสารสนเทศที่นำเสนอด้วยคอมพิวเตอร์เพื่อให้ผู้ใช้สามารถรับรู้ได้หลากหลายแบบวิธี ซึ่งสื่อประสมก็เป็นการรวบรวมข้อมูลเนื้อหาเข้าด้วยกันเป็นไฟล์

สื่อการสอน คืออะไร

8. สื่อการสอน คืออะไร
สื่อการสอนนับการมีบทบาทมากในการเรียนการสอนนับแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากเป็นตัวกลางที่ช่วยให้การสื่อสารระหว่างผู้สอนและผู้เรียนดำเนินการไปอย่างมีประสิทธิภาพทำให้ผู้เรียนมีความเข้าใจความหมายของเนื้อหาบทเรียนได้ตรงกับที่ผู้สอนต้องการไม่ว่าสื่อจะเป็นสื่อในรูปแบบใดก็ตามล้วนแต่เป็นทรัพยากรที่สามารถอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ได้ทั้งสิ้น ในการใช้สื่อการสอนนั้นผู้สอนจำเป็นต้องศึกษาถึงลักษณะเฉพาะและคุณสมบัติของสื่อแต่ละชนิด เพื่อเลือกสื่อให้ตรงกับวัตถุประสงค์การสอนและสามารถจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนโดยมีต้องมีการวางแผนอย่างเป็นระบบในการใช้สื่อด้วย


( เปรื่อง กุมุท ; 2519: 1 ) กล่าวว่าสื่อการสอน วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้เป็นเครื่องมือหรือช่องทางที่ทำให้การสอนของครูถึงนักเรียน และทำให้ผู้เรียนเรียนรู้ตามจุกประสงค์จะส่งหรือถ่ายทอดไปยังผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ


( ชัยยงค์ พรหมวงศ์ ; 2544 : 25 ) ให้ความหมาย สื่อการสอนว่า วัสดุอุปกรณ์และวิธีการประกอบการสอนเพื่อใช้เป็นสื่อกลางในความสื่อความหมาย ที่ผู้สอนประสงค์จะส่งหรือถ่ายทอดไปยังผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ


( ไชยยศ เรืองสุวรรณ ; 2526: 4 ) กล่าวว่าสื่อการสอน หมายถึง สิ่งที่ช่วยให้การเรียนรู้ ซึ่งครูและนักเรียนเป็นผู้ใช้เพื่อการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น


( คณะนิสิตปริญญาโท ,มศว.ประสานมิตร ; 2519 ) ได้ให้คำจำกัดความว่า “สื่อการสอน” หมายถึงสิ่งต่างๆที่ใช้เป็นเครื่องมือหรือช่องทางสำหรับการถ่ายทอดหรือนำความรู้หรือประสบการณ์ไปสู่ผู้เรียนและทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามวัตถุประสงค์


( บราวน์ และคณะ ; 1964: 584 ) จาก http://lerners.in .the/biog/stdnnu กล่าวว่าสื่อการสอน หมายถึง จำพวกอุปกรณ์ทั้งหลายที่สามารถช่วยเสนอความรู้ให้แก่ผู้เรียนจนเกิดผลการเรียนที่ดี ทั้งนี้ความหมายรวมถึงกิจกรรมต่างๆไม่เฉพาะแต่สิ่งที่เป็นวัตถุหรือเครื่องมือเท่านั้น เช่น การศึกษานอกสถานที่ การแสดงบทบาท นาฎการ การสาธิต การทดลองตลอดจนการสัมภาษณ์และสำรวจ
จากความหมายดังกล่าว สรุปได้ว่า “สื่อการสอน” หมายถึงตัวกลางที่ช่วยนำและถ่ายทอดข้อมูลความรู้จากผู้สอนหรือจากแหล่งความรู้ไปยังผู้เรียน ช่วยให้การเรียนรู้การสอนดำเนินไปอย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพและทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนที่ตั้งไว้

เทคโนโลยีสารสนเทศ มีบทบาทในการศึกษามีอะไรบ้างและแต่ละอย่างเป็นอย่างไร

7. เทคโนโลยีสารสนเทศ มีบทบาทในการศึกษามีอะไรบ้างและแต่ละอย่างเป็นอย่างไร

เทคโนโลยีสารสนเทศได้เข้ามามีบทบาททางการศึกษาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์และการสื่อสารโทรคมนาคมมีบทบาทที่สำคัญต่อการพัฒนาการ ศึกษาเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญต่อการศึกษาประกอบด้วย

1. เทคโนโลยีที่เข้ามามีส่วนช่วยในเรื่องการเรียนรู้ ปัจจุบันมีเครื่องมือเครื่องใช้ที่ช่วยการสนับสนุนการเรียนรู้หลายอย่าง มีระบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAT มีระบบมัลติมีเดีย Multimedia ระบบวีดีโอออนนดีมานด์ Video on Demand วีดีโอเทเลคอนเฟอเรนซ์ Video Teleconference และอินเตอร์เน็ต Internet เป็นต้น ระบบเหล่านี้เป็นระบบสนับสนุนการรับรู้ข่าวสารและการค้นหาข้อมูลเพื่อการเรียนรู้

2. เทคโนโลยีที่เข้ามาสนับสนุนการจัดการศึกษาในการจักการศึกษาสมัยใหม่ จำเป็นต้องอาศัยข้อมูลข่าวสารเพื่อการวางแผนการดำเนินการ การติดตามและประเมินผลคอมพิวเตอร์และระบบสื่อสารโทรคมนาคมเข้ามามีบทบาท

3. การศึกษาทางไกล เป็นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยในการจัดรูปแบบการศึกษาทางไกล โดยให้ผู้สอนและผู้เรียนสามารถสื่อสารผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศได้ทันท

4. เครือข่ายการศึกษา เป็นการแบ่งหรือจัดกลุ่มเครือข่ายเพื่อการศึกษาเพื่อให้ครูอาจารย์และผู้เรียนได้มีโอกาสใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อการแสวงหาความรู้บนโลกที่ไร้พรมแดน เช่น บริการรับ – ส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ การเผยแพร่และค้นหาข้อมูลในระบบ (world wide web : www) โดยกลุ่มเครือข่ายของมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชนที่ดูแลโดยทบวงมหาวิทยาลัย ส่วนโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาและประถมศึกษาจะมีเครือข่ายสคูลเน็ต (SohoolNet) ดูแลโดยเนคเทค เป็นการส่งเสริมและขยายโอกาสในการเรียนรู้ของนักเรียนและประชาชน โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการใช้สารสนเทศ

5. การใช้งานในห้องสมุด ห้องสมุดในทุกสถาบันการศึกษาได้มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการบริการเสริมสร้างบริการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการบริการค้นหาข้อมูล บริการยืม – คืน ทั้งสื่อที่เป็นหนังสือ หนังสือพิมพ์ วารสารและนิตยสาร นอกจากนี้ยังบริการสืบค้นข้อมูลหนังสือผ่านเว็ปไซต์

6. การใช้ห้องปฏิบัติการทางการศึกษาเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์จะมีการฝึกปฏิบัติจึงต้องมีห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ไว้ให้บริการ เช่น นักศึกษาสาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ จะมีการฝึกเขียนโปรแกรมหรือมีการสอบผ่านเครื่องในห้องที่สาขาวิชากำหนดหรือใช้ปฏิบัติการ เป็นต้น

7. การใช้งานประจำและงานบริหาร เช่น การจัดทำทะเบียนประวัติของนักศึกษา การลงทะเบียนเรียน การแสดงผลการเรียน ล้วนแต่สามารถใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้งานได้ดีกว่า นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาให้สามารถมีการสืบค้นหรือแสดงผลสารสนเทศภายในสถาบันได้

ดังนั้น เทคโนโลยีสารสนเทศ จึงมีบทบาทและสำคัญมากในปัจจุบันแนวโน้มที่จะมีบทบาทมากยิ่งขึ้นในอนาคต เพราะเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการดำเนินงานสารสนเทศให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นับตั้งแต่การผลิต การจัดเก็บ การประมวลผล การเรียกใช้ การสื่อสารสารสนเทศการแลกเปลี่ยนและการใช้ทรัพยากรสารสนเทศร่วมกันทำให้เกิดความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ

เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง

6. เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง
เทคโนโลยีสารสนเทศ information technology: IT หมายถึง การนำเทคโนโลยีมาใช้งานที่เกี่ยวกับการประเมินผลข้อมูลเพื่อให้ได้สารสนเทศ ซึ่งเทคโนโลยีที่ใช้เป็นการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์กับเทคโนโลยีในการสื่อสารเพื่อช่วยในการสื่อสาร และการส่งผ่านข้อมูลและสารสนเทศได้สะดวกรวดเร็วมากขึ้น

(เทคโนโลยีสารสนเทศ; 2550:3 ) ได้ให้ความหมายว่า เทคโนโลยีสารสนเทศ คือ เทคโนโลยีในการนำคอมพิวเตอร์มาใช้งานจัดการกับข้อมูล ข่าวสาร หรือที่เรียกว่า สารสนเทศ ศาสตร์ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นศาสตร์ที่ใหม่มาก และมีความสำคัญมากในปัจจุบัน และถือเป็นหนึ่งในสามศาสตร์หลัก เทคโนโลยีสารสนเทศ , เทคโนโลยีนาโน , เทคโนโลยีชีวภาพ ที่ถูกกล่าวว่าจะมีผลต่อสังคมในอนาคตมากที่สุด ดังนั้นการจัดการข้อมูลสารสนเทศที่เกิดจากคอมพิวเตอร์เหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก นอกจากนี้การบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศภายในบริษัทก็เป็นสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่ง จะเห็นได้ว่าบริษัทหนึ่งหรือองค์กรใหญ่จำเป็นต้องมีหน่วยงานด้านการจัดระบบสารสนเทศ

(วีระศักดิ์ สอนอาจ ; http//:teacther.skw.at.th ) ได้ให้ความหมายว่า เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง เทคโนโลยีที่ใช้จัดการสารสนเทศ เป็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องตั้งแต่การรวบรวม การจัดเก็บข้อมูล การประมวลผล การพิมพ์ การสร้างรายงาน การสื่อสารข้อมูล ฯลฯ เทคโนโลยีสารสนเทศยังรวมถึงเทคโนโลยีทำทำให้เกิดระบบบริการ การใช้และการดูแลข้อมูลด้วย

(ยืน ภู่วรรรณ ; 2546:45 ) ได้ให้ความหมายว่า เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง อุปกรณ์หรือเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับการรวบรวมประมวลผล เก็บรักษา และเผยแพร่ข้อมูล และสารสนเทศโดยรวมทั้งฮาร์ด แวร์ ซอฟต์แวร์ ฐานข้อมูล และการสื่อสาร โทรคมนาคม ระบบสารสนเทศสร้างขึ้นมาเพื่อจุดหมายหลาประการ จุดหมายพื้นฐานประการหนึ่งคือ การประมวลข้อมูล Data ให้เป็นสารสนเทศ Information และนำไปสู่ความรู้ Knowledge ที่ช่วยแก้ปัญหาในการดำเนินงาน

จากความหมายดังกล่าว สรุปได้ว่า เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง การนำเครื่องมืออุปกรณ์ซึ่งประกอบด้วยเทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์มาใช้ในการรับส่งข้อมูลข่าวสารเพื่อช่วยแก้ปัญหา ในการทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและเพื่อความสะดวกสบายในการติดต่อการทำงานด้วย

เทคโนโลยี หมายถึงอะไร

5. เทคโนโลยี หมายถึงอะไร
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้ความหมายของเทคโนโลยีว่า หมายถึง วิทยาการที่เกี่ยวกับศิลปะในการนำเอาวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติและอุตสาหกรรม
ลักษณะของเทคโนโลยีสามารถจำแนกออกได้เป็น 3 ลักษณะ คือ
1. เทคโนโลยีในลักษณะของกระบวนการ process เป็นการใช้อย่างมีระบบของวิธีการทางวิทยาศาสตร์หรือความรู้ต่างๆ ที่ได้รวบรวมไว้เพื่อนำไปสู่ผลในทางปฏิบัติ
2. เทคโนโลยีในลักษณะของผลผลิต product หมายถึงวัสดุและอุปกณ์ที่เป็นผลมาจากการใช้กระบวนการทางเทคโนโลยี
3. เทคโนโลยีในลักษณะของการผสมของกระบวนการและผลผลิต process and product เช่นระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งมีการทำงานปฎิสัมพันธ์ระหว่างตัวเครื่องกับโปรแกรม

Technologe” มีรากศัพท์มาจากภาษาลาติน คือ Texere หมายถึง to weave หรือ to construct ซึ่งไม่เกี่ยวกับเครื่องจักรที่คิดกันในปัจจุบัน แต่หมายถึง paactical art ที่ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ช่วย (เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต ; 2550:2)

(วีระศักดิ์ สอนอาจ; http://teacher.skw.ac.th) ได้ให้ความหมายว่าเทคโนโลยี หมายถึง การประยุกต์เอาความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์กับการพัฒนาองค์ความรู้ต่างๆ ก็เพื่อเข้าใจธรรมชาติกฎเกณฑ์ของสิ่งต่างๆและหาทางนำมาประยุกต์ให้เกิดประโยชน์เทคโนโลยีจึงเป็นความหมายที่กว้างขวาง
(ชัยยงศ์ พรหมวงศ์ ; มิติที่3 2520:25 ) เขียนไว้ในหนังสือมิติที่ 3 ตามรูปแบบศัพท์ภาษาอังกฤษ เทคโนโลยี หมายถึง ศาสตร์ที่ว่าด้วยวิธีการ เทคโนโลยีที่แท้จริงเป็นกระบวนการ วิธีการหลักการ และสิ่งประดิษฐ์ซึ่งอยู่ในรูปของการจัดระบบงาน

(ครรชิต มาลัยวงศ์ ; 2539:25 ) ได้ให้ความหมายคำว่าเทคโนโลยี หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับการผลิตการสร้าง และใช้สิ่งของกระบวนการหรืออุปกรณ์ที่ไม่ได้มีในธรรมชาตินั่นเอง
(สุทิพย์ กาญจนพันธุ์ ; 2541:215) ได้ให้ความหมายว่า เทคโนโลยี หมายถึง วิธีการอย่างมีระบบในการวางแผน การประยุกต์ใช้และการประเมินกระบวนการเรียนการสอนทั้งระบบ โดยให้ความสำคัญต่อทั้งด้านเครื่องมือทรัพยากรมนุษย์ และปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างมนุษย์กับเครื่องมือเพื่อจะได้รูปแบบการศึกษาที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

เทคโนโลยี เป็นการนำเอาความคิด หลักการเทคนิค ความรู้ ระเบียบวิธีกระบวนการ ตลอดจนผลผลิต ทางวิทยาศาสตร์ทั้งในด้านสิ่งประดิษฐ์และวิธีปฏิบัติมาประยุกต์ใช้ในระบบงานเพื่อช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการทำงานให้ดียิ่งขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของงานให้ดีมากยิ่งขึ้น

นวัตกรรมทางการศึกษา คืออะไร

4.นวัตกรรมทางการศึกษา คืออะไร
ในวงการหรือกิจกรรมใดๆ ก็ตามเมื่อมีการนำเอาความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆเข้ามาใช้ปรับปรุงงานให้ดีขึ้นกว่าเดิม หรือมุ่งจะให้ตนมีประสิทธิภาพสูงเรียกได้ว่า เป็นนวัตกรรมของวงการนั้นๆ เช่น วงการศึกษาได้นำเอามาใช้ เรียกว่า “นวัตกรรมทางการศึกษา” Educational Innovation

(เปรื่อง กุมุท ; 2519:141) ได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับนวัตกรรมการศึกษาเอาไว้ 5 ลักษณะด้วยกัน คือ
1. ความคิดหรือการกระทำใหม่นั้นโดยอาจจะเก่ามาจากที่อื่น แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันนี้เป็นการเหมาะสมที่จะนำมาใช้กับการเรียนการสอนของเรา เช่น การสอนเป็นทีม การเรียนจากเครื่องช่วยสอน
2. ความคิดหรือการกระทำใหม่นั้นทั้งที่ครั้งหนึ่งเคยนำมาใช้แล้ว แต่บังเอิญไม่เกิดผลเพราะสิ่งแวดล้อมไม่อำนวย ขาดสิ่งนั้นขาดสิ่งนี้จนต้องเลิกไปพอมาถึงเวลานี้ระบบต่างๆ พร้อมจึงนำความคิดนั้นมาใช้ซึ่งเรียกว่า นวัตกรรมหรือของใหม่
3. ความคิดหรือการกระทำนั้น เพราะมีสิ่งใหม่ๆเข้ามาพร้อมๆกับความคิดที่จะกระทำอะไรบางอย่างพอดี และมองเห็นว่าการใช้สิ่งเหล่านั้นสามารถจะช่วยแก้ปัญญาทางการศึกษา หรือทำให้การดำเนินทางการศึกษาไปสู่เป้าหมายที่ต้องการได้อย่างดี นี่คือความหมายที่แท้จริงของนวัตกรรมทางการศึกษา
4. ความคิดหรือการกระทำนั้นใหม่ เพราะครั้งหนึ่งเคยถูกทัศนคติของผู้ใหญ่หรือผู้บริหารบดบังไว้ ตอนนี้เปลี่ยนผู้ใหญ่หรือผู้บริการ
5. ความคิดและการกระทำใหม่ เพราะยังไม่เคยคิดและทำมาเลยในโลกนี้ เพิ่งจะมีใครคนหนึ่งคิดได้เป็นคนแรกและเห็นว่าน่าจะใช้ได้ก็นำมาใช้

(http://www.kmutt.ac.th ) นวัตกรรมทางการศึกษาหมายถึง ความคิดและวิธีการปฏิบัติใหม่ๆ ที่ส่งเสริมให้กระบวนการทางการศึกษามีประสิทธิภาพ
ข้อสังเกตเกี่ยวกับสิ่งที่ถือว่าเป็นนวัตกรรม
· เป็นความคิดหรือกระบวนการกระทะใหม่ทั้งหมดหรือปรับปรุงดัดแปลงจากสิ่งที่เคยมีมาก่อน
· ความคิดหรือการกระทำนั้นมีการพิสูจน์ด้วยการวิจัยและช่วยให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
· มีการนำวิธีการระบบมาใช้อย่างชัดเจนโดยพิจารณาองค์ประกอบทั้ง 3 ส่วน คือ ข้อมูล กระบวนการ และผลลัพธ์

· ยังไม่เป็นส่วนหนึ่งของระบบงานในปัจจุบัน
จากความหมายดังกล่าว สรุปได้ว่า “นวัตกรรมการศึกษา” เป็นนวัตกรรมที่นำมาใช้ในวงการศึกษาเพื่อให้การเรียนการสอนมีสิ่งใหม่ๆ ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของความคิดหรือการกระทำ รวมทั้งสิ่งประดิษฐ์ก็ตามมาใช้ ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิมเกิดแรงจูงใจในการเรียนและประหยัดเวลา เพื่อที่จะมุ่งหวังที่จะเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

นวัตกรรม คืออะไร

3. นวัตกรรม คืออะไร
นวัตกรรม เป็นศัพท์บัญญัติของคณะกรรมการพิจารณาวิชาการศึกษากระทรวงศึกษาธิการซึ่งแต่เดิมใช้คำว่า “นวกรรม”เป็นคำมาจากภาษาอังกฤษว่า Innovation แปลว่า การนำสิ่งใหม่ๆหรือสิ่งใหม่ที่ทำขึ้นมา คำว่า นวกรรม มาจากภาษาบาลีสันสฤต คือ นว หมายถึงใหม่ และกรรม หมายถึง ความคิดการปฏิบัติ
นวัตกรรม Innovation หมายถึง ความคิดและการกระทำใหม่ๆที่นำมาใช้ในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานให้มีประสิทธิ์ภาพสูงขึ้น

(กิดานันท์ มลิทอง ; 2540:245) กล่าวถึงนวัตกรรมไว้ว่า เป็นแนวคิดการปฏิบัติใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยมีการใช้มาก่อนหรือเป็นการพัฒนาดัดแปลงจากเดิมที่มีอยู่แล้วให้ทันสมัย และใช้ได้ผลดียิ่งขึ้นเมื่อนำนวัตกรรมมาใช้จะช่วยในการทำงานนั้นได้ผลดี มีประสิทธิ์ผลสูงกว่าเดิมทั้งยังช่วยประหยัดเวลาและแรงงาน

(สุภากร ราชากรกิจ ; 2537:59) ได้กล่าวถึงนวัตกรรมไว้ว่า เป็นการปฏิบัติหรือกรรมวิธีที่นำเอาวิธีการใหม่มาใช้หรือการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงวิธีทำสิ่งต่างๆได้ดีกว่าเดิม

(บุญเกื้อ ควรหาเวช ; 2542:12) ได้ให้ความหมายของนวัตกรรมไว้ว่า เป็นการนำสิ่งใหม่ๆมาดัดแปลง เพื่อเติมวิธีการที่ทำอยู่เดิมเพื่อให้ใช้ได้ผลดียิ่งขึ้น

(สาโรช โศภีรักข์ ;2546:26) ได้ให้ความหมายไว้ว่า การนำวิธีใหม่ๆเข้ามาใช้และเปลี่ยนแปลงวิธีเดิมมาพัฒนาให้มีประสิทธิ์ภาพ หรือนำวิธีการที่คิดว่าไม่ใช้แล้วกลับมาเริ่มพัฒนาขึ้นใหม่แล้วใช้ได้อีกครั้ง เพื่อสร้างและเพิ่มศักยภาพของนวัตกรรมให้มีประโยชน์และมีคุณค่าตลอดจนให้เหมาะกับเศรษฐกิจพอเพียง
การนำเอาวิธีการใหม่มาปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็นในด้านของความคิดและการกระทำหรืออุปกรณ์ต่างๆให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพเมื่อใช้งาน

วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

มีทฤษฎีอะไรบ้างที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ และแต่ละทฤษฎีเป็นอย่างไร

2. มีทฤษฎีอะไรบ้างที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ และแต่ละทฤษฎีเป็นอย่างไร

1. ทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นไดค์ Thorndike
1. กฎแห่งความพร้อม Law of Readiness หมายถึง สภาพความพร้อมหรือวุฒิภาวะของผู้ทั้งทางร่างการ อวัยวะต่างๆ ในการเรียนรู้และจิตใจ รวมทั้งพื้นฐานและประสบการเดิม สภาพความพร้อมของหูตา ประสาทสมองและกล้ามเนื้อ ที่จะเชื่อมโยงความรู้ใหม่หรือสิ่งใหม่ ตลอดจนความสนใจ ความเข้าใจต่อสิ่งที่เห็น ถ้าผู้เรียนมีความพร้อมตามองค์ประกอบต่างๆ ดังกล่าวจะทำให้ผู้เรียนเกิดความเรียนรู้ได้
2.กฎแห่งการฝึกหัด Law of Exercise หมายถึง การเรียนที่ได้ฝึกหัดหรือการกรทำซ้ำๆ บ่อยๆ ย่อมจะทำให้เกิดความสมบูรณ์ถูกต้อง ซึ่งกฎนี้เป็นการเน้นความมั่นคงระหว่างการเชื่อมโยง และการตอบสนองที่ถูกต้องย่อมนำมาเพื่อความสมบูรณ์
3. กฎแห่งความพอใจ Law of Effect กฎนี้เป็นผลทำให้เกิดความพอใจ กล่าวคือเมื่ออินทรีย์ได้รับความพอใจ จะทำให้สิ่งเชื่อมโยงแข็งมั่นคง ในทางกลับกันหากอินทรีย์ได้รับความไม่พอใจจะทำให้พันธะหรือสิ่งเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองอ่อนกำลังลง หรืออาจกล่าวได้ว่าหากอินทรีย์ได้รับความพอใจจากผลของการทำกิจกรรม ก็จะเกิดผลดีกับการเรียนรู้ทำให้อินทรีย์อยากเรียนรู้เพิ่มขึ้นอีก ในทางตรงกันข้ามหากอินทรีย์ได้รับผลไม่พอใจก็จะทำให้ไม่อยากเรียนรู้หรือเบื่อหน่ายและเป็นผลเสียต่อการเรียนรู้

2.ทฤษฎีการเรียนรู้ของกาเย่
กาเย่ Gagne ได้เสนอหลักที่สำคัญเกี่ยวกับการเรียนรู้ว่า ไม่มีทฤษฎีหนึ่งหรือทฤษฎีใดสามารถอธิบายการเรียนรู้ของบุคคลใดได้สมบูรณ์ ดังนั้นกาเย่ จึงได้นำทฤษฎีการเรียนรู้แบบสิ่งเร้าและการตอบสนอง S-ATheory กับทฤษฎีความรู้ Congnitive Field มาผสมผสานกันในลักษณะของการจัดลำดับการเรียนรู้ดังนี้
1. การรียนรู้แบบสัญญาณ Snnal Learning เป็นการเรียนรู้แบบวางเงื่อนไข เกิดจากความใกล้ชิดของสิ่งเร้าและการกระทำซ้ำผู้เรียนไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมของตนเอง
2. การเรียนรู้แบบตอบสนอง S-R Learning คือการเรียนรู้ที่ผู้เรียนสามารถควบคุมพฤติกรรมนั้นได้ การตอบสนองเป็นผลมาจากการเสริมแรงกับโอกาสการกระทำซ้ำหรือฝึกฝน
3. การเรียนรู้แบบลูกโซ่ Chainig Learning คือการเรียนรู้อันเนื่องมาจากการเชื่อมโยงสิ่งเร้ากับการตอบสนองติดต่อกันเป็นการต่อเนื่อง โดนเป็นพฤติกรรมที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว เช่น การขับรถ การใช้เครื่องมือ
4. การเรียนรู้แบบการจำแนก Discrimination Learning ได้แก่ การเรียนรู้ที่ผู้เรียนสามารถมองเห็นความแตกต่างสามารถเลือกตอบสนองได้
5. การเรียนรู้แบบภาษาสัมพันธ์ Verbal Association Learning มีลักษณะเช่นเดียวกับการเรียนรู้แบบลูกโซ่ หากแต่ใช้ภาษาหรือสัญลักษณ์แทน
6. การเรียนรู้มโนทัศน์ Concept Learning ได้แก่การเรียนรู้อันเนื่องมาจากความสามารถในการตอบสนองสิ่งต่างๆในลักษณะที่เป็นส่วนร่วมของสิ่งนั้น เช่น วงกลม ประกอบด้วยมโนทัศน์ย่อยที่เกี่ยวกับ ส่วนโค้ง ระยะทาง ศูนย์กลาง เป็นต้น
7. การเรียนรู้กฎ Principle Learning เกิดจากความสามารถเชื่อมโยงมโนทัศน์เข้าด้วยกันสามารถนำไปตั้งเป็นกฎเกณฑ์ได้
8. การเรียนรู้แบบปัญญา Problem Selving ได้แก่การเรียนในระดับที่ผู้เรียนสามารถรวมกฎเกณฑ์ รู้จักแสวงหาความรู้ รู้จักสร้างสรรค์ นำความรู้ไปแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ ได้จากลำดับการเรียนรู้นี้แสดงให้เห็นว่าพฤติกรรมการเรียนรู้แบบต้นๆจะเป็นพื้นฐาน

3. ทฤษฎีการเรียนรู้แบบนีโอฮิวแมนนิส
เชื่อว่าแนวคิดนี้จะพัฒนาให้คนสมบูรณ์ โดนเน้นดานร่างกาย จิตสำนึก จิตใต้สำนึก และจิตเหนือสำนึก นั่นถือเด็กจะต้องมีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงสวยงาม ด้วยการส่งเสริมให้ออกกำลังกาย รวมถึงการพัฒนาด้านอารมณ์และสติปัญญาควบคู่ไปด้วย เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายความเป็นคนที่สมบูรณ์ กิจกรรมของนีโอฮิวแมนนิสจะต้องสอดคล้องกับหลัก 4 ข้อ คือ คลื่นสมอง การประสานของเซลล์สมอง ภาพพจน์ต่อตนเอง และการให้ความรัก

4. ทฤษฎีการเรียนรู้แบบวอลดอร์ฟ
เน้นการศึกษาเรื่องมนุษย์และเชื่องดยงกับโลกและจักวาล การเชื่อมโยงทุกเรื่องกับมนุษย์ไม่ใช่มนุษย์ยึดตนเอง แต่เป็นการสอนให้มนุษย์รู้จักจุดยืนที่สมดุลของตนในโลกมนุษย์ ปรัชญาเน้นความสำคัญของการสร้างความสมดุลใน 3 วิถีทาง คือ กาย ใจและสติปัญญา ของเด็กที่แตกต่างกันตามวัย ดังนั้น การศึกษาของเด็กปฐมวัยจึงยึดหลักการทำซ้ำ เด็กควรได้มีโอกาสทำสิ่งต่างๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนการกระทำนั้นซึมลงลึกไปในกายและจิตใจจนเป็นนิสัย

5. ทฤษฎีการเรียนรู้แบบมอนเตสซอรี่
จุดเด่นของมอนเตสซอรี่ คือการให้เด็กเรียนรู้ผ่านอุปกรณ์ที่จัดเตรียมไว้ อุปกรณ์แต่ละชิ้นมี่จุดมุ่งหมายการใช้เฉพาะทุกชิ้นผ่านการพิสูจน์แล้วว่าเด็กชอบ สนใจ และเหมาะแก่การพัฒนาการในแต่ละช่วงวัยของเด็กคลอบคลุกหลักสูตรพื้นฐานสำหรับเด็กวัย 3-6 ปี ที่มอนเตสซอรี่ที่กำหนดไว้ 3 กลุ่มหลักคือ การจัดการศึกษาทางด้านทักษะกลไก การศึกษาทางด้านประสาทสัมผัส และการเตรียมสำหรับการเขียนและคณิตศาสตร์

6. ทฤษฎีการเรียนรู้แบบ Bloom (Bloom’ Taxonomy)
Bloom ได้แบ่งการเรียนรู้เป็น 6 อันดับ
· ความรู้ที่เกิดจากความจำ knowledge
· ความเข้าใจ Comprehend
· การประยุกต์ Application
· การวิเคราะห์ Analysis สามารถแก้ปัญหาตรวจสอบได้
· การสังเคราะห์ Synthesis สามารถนำส่วนต่างๆ มาประกอบเป็นรูปแบบใหม่ได้ใช้ให้แตกต่างจากรูปแบบเดิม เน้นโครงสร้างใหม่
· การประมาณค่า Evaluation วัดได้และตัดสินได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด ประกอบการตัดสินใจบนพื้นฐานของเหตุผลและเกณฑ์ที่แน่ชัด

7. ทฤษฎีการเรียนรู้ของบรูเนอร์ Bruner
· ความรู้ถูกสร้างหรือหล่อหลอมโดยประสบการณ์
· ผู้เรียนมีบทบาทรับผิดชอบในการเรียน
· ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความหมายขึ้นมาจากแง่มุมต่างๆ
· ผู้เรียนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นจริง
· ผู้เรียนเลือกเนื้อหาและกิจกรรมเอง
· เนื้อหาควรถูกสร้างในภาพรวม

8. ทฤษฎีการเรียนรู้ของไทเลอร์ Taylor
· ความต่อเนื่อง Continuity หมายถึง ในวิชาทักษะต้องเปิดโอกาสให้มีการฝึกทักษะในกิจกรรมและประสบการณ์บ่อยๆ และต่อเนื่องกัน
· การจัดช่วงลำดับ Sequence หมายถึง การจัดสิ่งที่มีความง่ายไปสู่สิ่งที่มีความยาก ดังนั้นการจัดกิจกรรมและประสบการณ์ให้มีการเรียงลำดับก่อนหลังเพื่อให้ได้เรียนเนื้อหาที่ลึกซึ่งยิ่งขึ้น
· บูรณาการ Integration หมายถึง การจัดประสบการณ์จึงควรเป็นในลักษณะที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เพิ่มพูนความรู้ ความคิดเห็นและได้แสดงพฤติกรรมที่สอดคล้องกันเนื้อหาที่เรียนเป็นการเพิ่มความสามารถทั้งหมดของผู้เรียนที่จะได้ใช้ประสบการณ์ในสถานการณ์ต่างๆกัน ประสบการณ์การเรียนรู้จึงเป็นแบบแผนปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับสถานการณ์ที่แวดล้อม

9. ทฤษฎีการเรียนรู้ของเมเยอร์ Mayor
ในการออกแบบสื่อการเรียนการสอน การวิเคราะห์ความจำเป็นสิ่งสำคัญและตามด้วยจุดประสงค์ของการเรียนโดยแบ่งออกเป็นย่อยๆ 3 ส่วนด้วยกัน
· พฤติกรรม ควรชี้ชัดและสังเกตได้
· เงื่อนไข พฤติกรรมสำเร็จได้ควรมีเงื่อนไขในการช่วยเหลือ
· มาตรฐาน ติกรรมที่ได้นั้นควรอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด

วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ทฤษฎีการเรียนรู้เป็นอย่างไร

1.ทฤษฎีการเรียนรู้เป็นอย่างไร
(http://th.wikipedia.org/wiki.) ได้สรุปว่า ทฤษฎีการเรียนรู้ learning theory การเรียนรู้ คือ กระบวนการที่ทำให้คนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ความคิด คนสามารถเรียนได้จากการได้ยินการสัมผัส การอ่าน การใช้เทคโนโลยี การเรียนรู้ของเด็กและผู้ใหญ่จะต่างกัน เด็กจะเรียนรู้ด้วยการเรียนในห้อง ซักถาม ผู้ใหญ่มักเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ที่ทีอยู่ แต่การเรียนรู้จะเกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่ผู้สอนนำเสนอ โดยการปฎิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนและผู้เรียน ผู้สอนจะเป็นผู้สร้างบรรยากาศทางจิตวิทยาที่เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้ ที่จะทำให้เกิดขึ้นเป็นรูปแบบใดก็ได้ เช่น ความเป็นกันเอง ความเข้มงวดกวดขัน หรือความไม่มีระเบียบวินัย สิ่งเหล่านี้ผู้สอนจะเป็นผู้สร้างเงื่อนไข และสถานการณ์เรียนรู้ให้กับผู้เรียน ดังนั้นผู้สอนจะต้องพิจารณาเลือกรูปแบบการสอนรวมทั้งการสร้างปฎิสัมพันธ์กับผู้เรียน
(สาโรช บัวศรี 1539:43) ได้สรุปว่า ทฤษฎีการเรียนรู้ เป็นแนวคิดที่ได้รับการยอมรับว่าสามารถใช้อธิบายลักษณะการเกิดการเรียนรู้ หรือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้ และการสอนก็คือ แนวคิดที่เป็นหลักของการปฏิบัติทางการสอนก็สอดคล้องกับทฤษฎีการเรียนรู้ต่างๆ แนวคิดทั้งหลาย ทั้งทางด้านจริยธรรมและพฤติกรรมด้งกล่าว เป็นพื้นฐานที่สำคัญของทฤษฎีและหลักการเรียนรู้ดังต่อไปนี้
1. ทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนรู้และหลักการสอนในช่วงก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 20 ได้แก่ ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มจิตนิยมหรือกลุ่มการเน้นการฝึกจิตหรือสมอง Mental Discipline
2. ทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนรู้และหลักการสอนในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 ได้แก่ ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม Behaviorism กลุ่มพุทธินิยมหรือความรู้ความเข้าใจ Genitives กลุ่มมนุษย์นิยม Humanism และกลุ่มผสมผสาน Eclecticism
นอกเหนือจากทฤษฎีดังกล่าว ปัจจุบันได้มีทฤษฎีที่ได้รับความนิยมอีกมากมาย เช่น ทฤษฎีพหุปัญญา ทฤษฎีการสร้างความรู้ และทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ